เริ่มต้นใช้งานการจับคู่ข้อมูลลูกค้า

การจับคู่ข้อมูลลูกค้าช่วยให้คุณนำข้อมูลออนไลน์และออฟไลน์มาใช้เพื่อเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อีกครั้งผ่าน Search, แท็บ Shopping, Gmail, YouTube และ Display โดยใช้ข้อมูลที่ลูกค้าแชร์กับคุณเพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณาไปยังลูกค้าเหล่านั้นและลูกค้ารายอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน คุณสามารถอัปโหลดข้อมูลการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) หลายรายการพร้อมกัน เพิ่มหรือนําข้อมูลออก หรือใช้รายชื่อผู้ใช้เหล่านี้เพื่อสร้าง logical_user_list

ดูภาพรวมของการจัดการกลุ่มเป้าหมายเพื่อดูรายการกลุ่มเป้าหมายประเภทต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบการจับคู่ข้อมูลลูกค้ากับตัวเลือกรายชื่อผู้ใช้อื่นๆ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจับคู่ข้อมูลลูกค้าและการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย

ข้อกำหนดเบื้องต้น

บัญชีบางบัญชีไม่มีสิทธิ์ใช้การจับคู่ข้อมูลลูกค้า ในการใช้การจับคู่ข้อมูลลูกค้า บัญชีของคุณต้องมีสิ่งต่อไปนี้

  • ปฏิบัติตามนโยบายอย่างถูกต้องมาโดยตลอด
  • ชำระเงินตรงตามกำหนดเสมอมา

เรามีฟีเจอร์ต่างๆ ให้ใช้งาน โดยขึ้นอยู่กับข้อกำหนดที่บัญชีของคุณผ่านเกณฑ์ โปรดอ่านนโยบายการจับคู่ข้อมูลลูกค้าเพื่อดูข้อกำหนดและข้อจำกัดของการได้รับสิทธิ์

ออกแบบการผสานรวมของคุณ

คุณสามารถออกแบบการผสานรวมได้

ขั้นตอนการใช้งาน

ขั้นตอนที่แนะนําในการสร้างและกําหนดเป้าหมายรายชื่อลูกค้ามีดังนี้

  1. สร้างรายชื่อลูกค้าที่ว่างเปล่า

  2. สร้าง OfflineUserDataJob การสร้างงานชิ้นเดียวที่มีขนาดใหญ่จะมีประสิทธิภาพมากกว่างานเล็กๆ หลายงาน

    ตรวจสอบว่าคุณป้อนข้อมูลในช่อง consent ของ customer_match_user_list_metadata ในคำขอ OfflineUserDataJob create สำหรับคำขอ remove ไม่จำเป็นต้องขอความยินยอม API จะแสดงผลเป็น OfflineUserDataJobError.CUSTOMER_NOT_ACCEPTED_CUSTOMER_DATA_TERMS หากมีการตั้งค่า consent.ad_user_data หรือ consent.ad_personalization ของงานเป็น DENIED

    หากผู้ใช้ปฏิเสธความยินยอม คุณจะสร้างงานด้วยการดำเนินการ remove เพื่อนำตัวระบุของผู้ใช้ออกจากรายการผู้ใช้ได้

    หากคุณไม่ได้รับความยินยอมสำหรับผู้ใช้บางราย ให้สร้างงานแยกต่างหากที่คุณไม่ได้ตั้งค่าช่อง consent ของงาน customer_match_user_list_metadata แล้วเพิ่มตัวระบุสำหรับผู้ใช้เหล่านั้นโดยใช้การดำเนินการ create สำหรับงานแยกต่างหากนั้น

  3. เพิ่มการดำเนินการโดยใช้วิธี OfflineUserDataJobService.AddOfflineUserDataJobOperations เราขอแนะนำให้เพิ่มตัวระบุทั้งหมดไม่เกิน 10,000 รายการในการเรียกใช้ครั้งเดียวเพื่อให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงสุด คำขอ AddOfflineUserDataJobOperations รายการเดียวมีตัวระบุได้สูงสุด 100,000 รายการในออบเจ็กต์ UserData ทั้งหมดในรายการการดำเนินการ

    ตัวอย่างเช่น หากออบเจ็กต์ UserData แต่ละรายการมี UserIdentifier 1 รายการสำหรับ hashed_email และอีก UserIdentifier รายการสำหรับ hashed_phone_number การส่งออบเจ็กต์ UserData 5,000 รายการต่อคำขอถือเป็นการดำเนินการที่ดีที่สุด เนื่องจากแต่ละคำขอจะมีตัวระบุผู้ใช้รวม 10,000 รายการ

  4. ทำซ้ำขั้นตอนก่อนหน้าจนกว่าจะเพิ่มการดำเนินการทั้งหมด หรือจนกว่างานจะเต็ม ไม่มีการจํากัดจํานวนการดำเนินการที่เพิ่มลงในงานเดียว แต่เราขอแนะนําให้เพิ่มการดำเนินการไม่เกิน 1,000,000 รายการต่องานเพื่อให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงสุด

  5. เรียกใช้งาน

  6. แบบสำรวจเพื่อให้อัปโหลดได้สำเร็จ

  7. ยืนยันอัตราการจับคู่

  8. กําหนดเป้าหมายรายการ

OfflineUserDataJobService และ UserDataService

บริการสําหรับอัปโหลดข้อมูลการจับคู่ข้อมูลลูกค้ามีอยู่ 2 บริการ เลือกบริการตามกรณีการใช้งานเนื่องจากอาจมีข้อจำกัดสำหรับบริการ

บริการอัปโหลดการจับคู่ข้อมูลลูกค้า
OfflineUserDataJobService (แนะนำ) นักพัฒนาแอปส่วนใหญ่ใช้บริการนี้ เครื่องมือนี้เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการอัปโหลดขนาดใหญ่ที่มีปริมาณงานสูง และแสดงเมตริกความสําเร็จเมื่อดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ คู่มือนี้จะเน้นที่บริการนี้เป็นหลัก
UserDataService บริการนี้ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่ออัปโหลดตัวระบุจำนวนน้อยพร้อมๆ กับการอัปเดตเป็นระยะๆ และไม่มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง มีการจำกัดการดำเนินการไว้ที่ 10 รายการต่อคำขอ นอกจากนี้ คําขอเดียวต้องมีuser_identifiers ทั้งหมดไม่เกิน 100 รายการ

ดูคําแนะนําเกี่ยวกับการอัปโหลดด้วยบริการนี้ได้จากคู่มือสําหรับการจัดการการผสานรวมการจับคู่ข้อมูลลูกค้า

ตั้งแต่เวอร์ชัน v15 ของ Google Ads API เป็นต้นไป คุณควรป้อนข้อมูลในช่อง consent ของ customer_match_user_list_metadata ในคําขอ UploadUserDataRequest create สำหรับคำขอ remove ไม่จำเป็นต้องขอความยินยอม API จะแสดงการตอบกลับโดยตั้งค่า received_operations_count เป็น 0 ซึ่งบ่งบอกว่าระบบไม่ได้ประมวลผลคําขอหาก consent.ad_user_data หรือ consent.ad_personalization เป็น DENIED หากตัวระบุได้รับความยินยอมเป็น DENIED คุณจะขอให้นำตัวระบุออกจากรายชื่อผู้ใช้ได้โดยใช้การดำเนินการ remove ของ UploadUserDataRequest

แนวทางปฏิบัติแนะนำ

โปรดคำนึงถึงแนวทางปฏิบัติแนะนำต่อไปนี้เมื่อออกแบบการผสานรวมการจับคู่ข้อมูลลูกค้า

  • อย่าพยายามใช้หลายบัญชีเพื่อแก้ไขรายการผู้ใช้รายการเดียว บัญชี Google Ads หรือพาร์ทเนอร์ด้านข้อมูลที่สร้างรายการผู้ใช้เท่านั้นที่จะแก้ไขรายการได้

  • เพิ่มจำนวนการดำเนินการต่อ AddOfflineUserDataJobOperationsRequest สูงสุด 100,000 ตัวระบุเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดRESOURCE_EXHAUSTED

  • อย่ารวมการดำเนินการ create และ remove เข้าด้วยกันใน OfflineUserDataJob เดียวกัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด CONFLICTING_OPERATION

  • เปิดใช้ partial_failure ใน AddOfflineUserDataJobOperationsRequest เพื่อตรวจหาการดำเนินการที่มีปัญหาก่อนที่จะเรียกใช้งาน ระบบจะตรวจสอบการดำเนินการเมื่ออัปโหลดไปยัง OfflineUserDataJob

  • หลีกเลี่ยงการเรียกใช้กระบวนการ OfflineUserDataJob หลายรายการพร้อมกันซึ่งแก้ไขรายการผู้ใช้เดียวกัน (นั่นคือ งานหลายรายการที่ CustomerMatchUserListMetadata.user_list ชี้ไปยังชื่อทรัพยากรเดียวกัน) การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาด CONCURRENT_MODIFICATION เนื่องจากระบบไม่อนุญาตให้มีงานหลายรายการทำงานในรายการเดียวกันพร้อมกัน ข้อผิดพลาดนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้หากพยายามแก้ไขรายการผ่าน UI ของ Google Ads และ Google Ads API พร้อมกัน โปรดทราบว่าการดำเนินการนี้ไม่มีผลกับการเพิ่มการดำเนินการไปยังงาน PENDING ซึ่งดำเนินการได้ทุกเมื่อก่อนที่งานจะเริ่มต้น

  • หากคุณมีการดำเนินการหลายพันรายการที่จะใช้ ให้สร้างการดำเนินการรายการเดียว OfflineUserDataJob ที่มีการดำเนินการทั้งหมด อย่าสร้างงานหลายงานด้วยการดำเนินการเพียงไม่กี่ร้อยงานในแต่ละงาน และเรียกใช้ตามลำดับหรือพร้อมกัน งานขนาดใหญ่งานเดียวที่มีการดำเนินการทั้งหมดมีประสิทธิภาพมากกว่างานขนาดเล็กหลายงาน และลดโอกาสที่คุณจะพบข้อผิดพลาดในเวิร์กโฟลว์

สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับวิธีใช้ประโยชน์จากรายชื่อลูกค้าเพื่อการกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสม โปรดไปที่ศูนย์ช่วยเหลือ

สร้างรายชื่อลูกค้า

ก่อนอื่นให้สร้างรายชื่อลูกค้าด้วยUserListService คุณสามารถสร้างรายชื่อลูกค้าได้โดยการตั้งค่าช่อง crm_based_user_list ในออบเจ็กต์ user_list คุณจะตั้งค่าช่อง crm_based_user_list ในประเภทแคมเปญที่รองรับการกำหนดเป้าหมายรายชื่อลูกค้าได้ ดังนี้

การจับคู่ข้อมูลลูกค้าในแคมเปญประเภทต่างๆ
เครือข่าย Search โฆษณาแสดงในเครือข่าย Search
เครือข่ายดิสเพลย์ โฆษณาจะแสดงบนเครือข่ายดิสเพลย์และใน Gmail ต่อเมื่อมีครีเอทีฟโฆษณา GSP เท่านั้น
การขยายไปยังเครือข่าย Display ในแคมเปญ Search โฆษณาจะแสดงในเครือข่าย Search และใน Gmail เฉพาะเมื่อมีครีเอทีฟโฆษณา GSP เท่านั้น
แคมเปญวิดีโอ โฆษณาจะแสดงบน YouTube เมื่อมีโฆษณาแบบ TrueView ในสตรีมเท่านั้น
แคมเปญ Shopping โฆษณาจะแสดงในแท็บ Shopping

crm_based_user_list มี 3 ช่อง ได้แก่

  • app_id: สตริงที่ระบุแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่รวบรวมข้อมูลมาโดยไม่ซ้ำกัน ซึ่งจำเป็นเมื่อสร้าง CrmBasedUserList สำหรับการอัปโหลดรหัสโฆษณาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

  • upload_key_type: ประเภทคีย์ที่ตรงกันของรายการ ซึ่งอาจเป็น CONTACT_INFO, CRM_ID หรือ MOBILE_ADVERTISING_ID ไม่อนุญาตให้ใช้ข้อมูลหลายประเภทในรายการเดียวกัน ต้องระบุข้อมูลในช่องนี้สำหรับรายชื่อลูกค้าทั้งหมด

  • data_source_type: แหล่งข้อมูลของรายการ ค่าเริ่มต้นคือ FIRST_PARTY ลูกค้าในรายการที่อนุญาตอาจสร้างรายชื่อลูกค้าที่มาจากบุคคลที่สาม

แอตทริบิวต์ membership_life_span ของรายชื่อผู้ใช้ช่วยให้คุณกำหนดระยะเวลาเป็นจำนวนวันที่ระบบถือว่าผู้ใช้อยู่ในรายการได้ ประเภทรายชื่อลูกค้าช่วยให้คุณตั้งค่า membership_life_span เป็น 10,000 เพื่อระบุว่าไม่มีวันหมดอายุได้

แอตทริบิวต์ membership_status จะกำหนดว่ารายการยอมรับผู้ใช้ใหม่หรือไม่

ตัวอย่างโค้ดสำหรับสร้างรายชื่อลูกค้า

Java

private String createCustomerMatchUserList(GoogleAdsClient googleAdsClient, long customerId) {
  // Creates the new user list.
  UserList userList =
      UserList.newBuilder()
          .setName("Customer Match list #" + getPrintableDateTime())
          .setDescription("A list of customers that originated from email addresses")
          // Customer Match user lists can use a membership life span of 10,000 to indicate
          // unlimited; otherwise normal values apply.
          // Sets the membership life span to 30 days.
          .setMembershipLifeSpan(30)
          // Sets the upload key type to indicate the type of identifier that will be used to
          // add users to the list. This field is immutable and required for a CREATE operation.
          .setCrmBasedUserList(
              CrmBasedUserListInfo.newBuilder()
                  .setUploadKeyType(CustomerMatchUploadKeyType.CONTACT_INFO))
          .build();

  // Creates the operation.
  UserListOperation operation = UserListOperation.newBuilder().setCreate(userList).build();

  // Creates the service client.
  try (UserListServiceClient userListServiceClient =
      googleAdsClient.getLatestVersion().createUserListServiceClient()) {
    // Adds the user list.
    MutateUserListsResponse response =
        userListServiceClient.mutateUserLists(
            Long.toString(customerId), ImmutableList.of(operation));
    // Prints the response.
    System.out.printf(
        "Created Customer Match user list with resource name: %s.%n",
        response.getResults(0).getResourceName());
    return response.getResults(0).getResourceName();
  }
}

      

C#

private string CreateCustomerMatchUserList(GoogleAdsClient client, long customerId)
{
    // Get the UserListService.
    UserListServiceClient service = client.GetService(Services.V18.UserListService);

    // Creates the user list.
    UserList userList = new UserList()
    {
        Name = $"Customer Match list# {ExampleUtilities.GetShortRandomString()}",
        Description = "A list of customers that originated from email and physical" +
            " addresses",
        // Customer Match user lists can use a membership life span of 10000 to
        // indicate unlimited; otherwise normal values apply.
        // Sets the membership life span to 30 days.
        MembershipLifeSpan = 30,
        CrmBasedUserList = new CrmBasedUserListInfo()
        {
            UploadKeyType = CustomerMatchUploadKeyType.ContactInfo
        }
    };
    // Creates the user list operation.
    UserListOperation operation = new UserListOperation()
    {
        Create = userList
    };

    // Issues a mutate request to add the user list and prints some information.
    MutateUserListsResponse response = service.MutateUserLists(
        customerId.ToString(), new[] { operation });
    string userListResourceName = response.Results[0].ResourceName;
    Console.WriteLine($"User list with resource name '{userListResourceName}' " +
        $"was created.");
    return userListResourceName;
}
      

PHP

private static function createCustomerMatchUserList(
    GoogleAdsClient $googleAdsClient,
    int $customerId
): string {
    // Creates the user list.
    $userList = new UserList([
        'name' => 'Customer Match list #' . Helper::getPrintableDatetime(),
        'description' => 'A list of customers that originated from email '
            . 'and physical addresses',
        // Customer Match user lists can use a membership life span of 10000 to
        // indicate unlimited; otherwise normal values apply.
        // Sets the membership life span to 30 days.
        'membership_life_span' => 30,
        'crm_based_user_list' => new CrmBasedUserListInfo([
            // Sets the upload key type to indicate the type of identifier that will be used to
            // add users to the list. This field is immutable and required for a CREATE
            // operation.
            'upload_key_type' => CustomerMatchUploadKeyType::CONTACT_INFO
        ])
    ]);

    // Creates the user list operation.
    $operation = new UserListOperation();
    $operation->setCreate($userList);

    // Issues a mutate request to add the user list and prints some information.
    $userListServiceClient = $googleAdsClient->getUserListServiceClient();
    $response = $userListServiceClient->mutateUserLists(
        MutateUserListsRequest::build($customerId, [$operation])
    );
    $userListResourceName = $response->getResults()[0]->getResourceName();
    printf("User list with resource name '%s' was created.%s", $userListResourceName, PHP_EOL);

    return $userListResourceName;
}
      

Python

def create_customer_match_user_list(client, customer_id):
    """Creates a Customer Match user list.

    Args:
        client: The Google Ads client.
        customer_id: The ID for the customer that owns the user list.

    Returns:
        The string resource name of the newly created user list.
    """
    # Creates the UserListService client.
    user_list_service_client = client.get_service("UserListService")

    # Creates the user list operation.
    user_list_operation = client.get_type("UserListOperation")

    # Creates the new user list.
    user_list = user_list_operation.create
    user_list.name = f"Customer Match list #{uuid.uuid4()}"
    user_list.description = (
        "A list of customers that originated from email and physical addresses"
    )
    # Sets the upload key type to indicate the type of identifier that is used
    # to add users to the list. This field is immutable and required for a
    # CREATE operation.
    user_list.crm_based_user_list.upload_key_type = (
        client.enums.CustomerMatchUploadKeyTypeEnum.CONTACT_INFO
    )
    # Customer Match user lists can set an unlimited membership life span;
    # to do so, use the special life span value 10000. Otherwise, membership
    # life span must be between 0 and 540 days inclusive. See:
    # https://developers.devsite.corp.google.com/google-ads/api/reference/rpc/latest/UserList#membership_life_span
    # Sets the membership life span to 30 days.
    user_list.membership_life_span = 30

    response = user_list_service_client.mutate_user_lists(
        customer_id=customer_id, operations=[user_list_operation]
    )
    user_list_resource_name = response.results[0].resource_name
    print(
        f"User list with resource name '{user_list_resource_name}' was created."
    )

    return user_list_resource_name
      

Ruby

def create_customer_match_user_list(client, customer_id)
  # Creates the user list.
  operation = client.operation.create_resource.user_list do |ul|
    ul.name = "Customer Match List #{(Time.new.to_f * 1000).to_i}"
    ul.description = "A list of customers that originated from email and " \
      "physical addresses"
    # Customer Match user lists can use a membership life span of 10000 to
    # indicate unlimited; otherwise normal values apply.
    # Sets the membership life span to 30 days.
    ul.membership_life_span = 30
    ul.crm_based_user_list = client.resource.crm_based_user_list_info do |crm|
      crm.upload_key_type = :CONTACT_INFO
    end
  end

  # Issues a mutate request to add the user list and prints some information.
  response = client.service.user_list.mutate_user_lists(
    customer_id: customer_id,
    operations: [operation],
  )

  # Prints out some information about the newly created user list.
  resource_name = response.results.first.resource_name
  puts "User list with resource name #{resource_name} was created."

  resource_name
end
      

Perl

sub create_customer_match_user_list {
  my ($api_client, $customer_id) = @_;

  # Create the user list.
  my $user_list = Google::Ads::GoogleAds::V18::Resources::UserList->new({
      name        => "Customer Match list #" . uniqid(),
      description =>
        "A list of customers that originated from email and physical addresses",
      # Customer Match user lists can use a membership life span of 10000 to
      # indicate unlimited; otherwise normal values apply.
      # Set the membership life span to 30 days.
      membershipLifeSpan => 30,
      # Set the upload key type to indicate the type of identifier that will be
      # used to add users to the list. This field is immutable and required for
      # a CREATE operation.
      crmBasedUserList =>
        Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::CrmBasedUserListInfo->new({
          uploadKeyType => CONTACT_INFO
        })});

  # Create the user list operation.
  my $user_list_operation =
    Google::Ads::GoogleAds::V18::Services::UserListService::UserListOperation->
    new({
      create => $user_list
    });

  # Issue a mutate request to add the user list and print some information.
  my $user_lists_response = $api_client->UserListService()->mutate({
      customerId => $customer_id,
      operations => [$user_list_operation]});
  my $user_list_resource_name =
    $user_lists_response->{results}[0]{resourceName};
  printf "User list with resource name '%s' was created.\n",
    $user_list_resource_name;

  return $user_list_resource_name;
}
      

เพิ่มข้อมูลลูกค้า

คีย์การจับคู่หลัก 3 รายการ ได้แก่ อีเมล ที่อยู่ไปรษณีย์ และหมายเลขโทรศัพท์ คุณใช้รหัสผู้ใช้และรหัสอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นคีย์การจับคู่ได้ แต่โซลูชันเหล่านี้รองรับการใช้งานในอนาคตน้อยกว่าเนื่องจากอาศัยคุกกี้และรหัสอุปกรณ์ ขอแนะนำให้อัปโหลดข้อมูลติดต่อของผู้ใช้ เช่น อีเมล ที่อยู่จัดส่ง และหมายเลขโทรศัพท์ แทน CRM หรือรหัสอุปกรณ์เคลื่อนที่

รายการผู้ใช้แต่ละรายการจะมีข้อมูลลูกค้าได้เพียงประเภทเดียวตามที่ระบุในช่อง CrmBasedUserListInfo.upload_key_type นอกจากนี้ ออบเจ็กต์ UserData ซึ่งแสดงถึงผู้ใช้รายเดียวอาจมีตัวระบุผู้ใช้ได้สูงสุด 20 รายการ โดยแต่ละรายการมีออบเจ็กต์ UserIdentifier ของตัวเอง ตัวระบุมากกว่า 20 รายการทำให้เกิดข้อผิดพลาด TOO_MANY_USER_IDENTIFIERS

Google Ads จะใช้รายการผู้ใช้การจับคู่ข้อมูลลูกค้าสําหรับการกําหนดเป้าหมายก็ต่อเมื่อรายการดังกล่าวมีผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่เป็นจํานวนตามเกณฑ์ขั้นต่ำในช่วงเวลาที่แสดงโฆษณา โดยผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่คือจํานวนผู้ใช้ในรายการของคุณที่ใช้งานอยู่ใน Gmail, Search, YouTube หรือ Display อัปโหลดสมาชิกอย่างน้อย 5,000 คนเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะมีผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ซึ่งตรงกันและเพียงพอสำหรับการกําหนดเป้าหมาย

อัปโหลดข้อมูลติดต่อของผู้ใช้

หากต้องการอัปโหลดอีเมล ที่อยู่ทางไปรษณีย์ หรือหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ ให้ตั้งค่า upload_key_type เป็น CONTACT_INFO โปรดทราบว่าข้อมูลติดต่อต้องเชื่อมโยงกับบัญชี Google จึงจะตรงกัน และไม่สามารถกำหนดเป้าหมายบัญชีบริษัท เช่น Google Workspace ได้

อีเมล ชื่อนามสกุล และหมายเลขโทรศัพท์ต้องได้รับการแฮชโดยใช้อัลกอริทึม SHA-256 ก่อนที่จะอัปโหลด เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เพื่อให้ผลลัพธ์แฮชเป็นมาตรฐาน โปรดตรวจสอบว่าคุณได้ดำเนินการต่อไปนี้ก่อนที่จะแฮชค่าใดค่าหนึ่ง

  • นําช่องว่างขึ้นต้นและต่อท้ายออก
  • สำหรับชื่อ อีเมล และที่อยู่จัดส่ง: แปลงข้อความเป็นตัวพิมพ์เล็ก
  • สําหรับหมายเลขโทรศัพท์ ให้แปลงหมายเลขโทรศัพท์แต่ละหมายเลขเป็นรูปแบบ E164 ก่อนการแฮช รูปแบบนี้จะแสดงหมายเลขโทรศัพท์เป็นตัวเลขที่มีความยาวได้สูงสุด 15 หลัก โดยขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย + เช่น +12125650000 หรือ +442070313000 คุณจะไม่ใส่เครื่องหมาย + ที่ขึ้นต้นก็ได้

สำหรับอีเมล คุณไม่จำเป็นต้องนำจุด (.) ที่อยู่ก่อนชื่อโดเมนในอีเมล gmail.com และ googlemail.com ออกทั้งหมด เนื่องจากระบบยังคงยอมรับอีเมลดังกล่าว

หากข้อมูลติดต่อไม่ได้จัดรูปแบบอย่างถูกต้องก่อนแฮช API จะยังคงยอมรับข้อมูลที่แฮช แต่จะจับคู่กับลูกค้าไม่ได้

หากต้องการอัปโหลดข้อมูลที่อยู่จัดส่ง คุณต้องระบุข้อมูลต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย

  • รหัสประเทศ
  • รหัสไปรษณีย์
  • ชื่อที่ผ่านการแฮช
  • นามสกุลที่แฮช

หากช่องใดช่องหนึ่งเหล่านี้ขาดหายไป ระบบจะจับคู่ที่อยู่ไม่ได้

แม้ว่ารายการลูกค้าจะมีได้เพียง upload_key_type รายการ แต่คุณอัปโหลดข้อมูลติดต่อหลายประเภทสำหรับ upload_key_type ของ CONTACT_INFO ได้ ขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้เพื่อเพิ่มอัตราการจับคู่

อัปโหลดรหัส CRM

หากต้องการป้อนข้อมูลรายชื่อลูกค้าด้วยรหัส CRM ให้ตั้งค่า upload_key_type เป็น CRM_ID ระบบจะจับคู่รหัส CRM จากรหัสผู้ใช้ที่สร้างขึ้นและกําหนดโดยผู้ลงโฆษณา ซึ่งคล้ายกับการอัปโหลดอินสแตนซ์ MOBILE_ADVERTISING_ID แต่คุณจะต้องป้อนข้อมูลในช่อง third_party_user_id ของออบเจ็กต์ UserIdentifier แทน

อัปโหลดรหัสอุปกรณ์เคลื่อนที่

คุณสามารถทําการจับคู่ข้อมูลลูกค้าโดยใช้รหัสอุปกรณ์เคลื่อนที่ของตัวระบุสําหรับการโฆษณา (IDFA) หรือรหัสโฆษณาของ Google (AAID) ได้ ซึ่งคล้ายกับการจับคู่ข้อมูลลูกค้าด้วยอีเมล โดยระบุพร็อพเพอร์ตี้ app_id และตั้งค่า upload_key_type เป็น MOBILE_ADVERTISING_ID ก่อนใช้รายการผู้ใช้เพื่อจับคู่ข้อมูลลูกค้ากับรหัสอุปกรณ์เคลื่อนที่

ตัวอย่างโค้ด

ตัวอย่างต่อไปนี้ใช้ OfflineUserDataJobOperation เพื่อเพิ่มข้อมูลติดต่อของลูกค้าลงในรายชื่อลูกค้า

Java

// Creates a raw input list of unhashed user information, where each element of the list
// represents a single user and is a map containing a separate entry for the keys "email",
// "phone", "firstName", "lastName", "countryCode", and "postalCode". In your application, this
// data might come from a file or a database.
List<Map<String, String>> rawRecords = new ArrayList<>();
// The first user data has an email address and a phone number.
Map<String, String> rawRecord1 =
    ImmutableMap.<String, String>builder()
        .put("email", "dana@example.com")
        // Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as required. This
        // includes whitespace that will be removed later.
        .put("phone", "+1 800 5550101")
        .build();
// The second user data has an email address, a mailing address, and a phone number.
Map<String, String> rawRecord2 =
    ImmutableMap.<String, String>builder()
        // Email address that includes a period (.) before the domain.
        .put("email", "alex.2@example.com")
        // Address that includes all four required elements: first name, last name, country
        // code, and postal code.
        .put("firstName", "Alex")
        .put("lastName", "Quinn")
        .put("countryCode", "US")
        .put("postalCode", "94045")
        // Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as required.
        .put("phone", "+1 800 5550102")
        .build();
// The third user data only has an email address.
Map<String, String> rawRecord3 =
    ImmutableMap.<String, String>builder().put("email", "charlie@example.com").build();
// Adds the raw records to the raw input list.
rawRecords.add(rawRecord1);
rawRecords.add(rawRecord2);
rawRecords.add(rawRecord3);

// Iterates over the raw input list and creates a UserData object for each record.
List<UserData> userDataList = new ArrayList<>();
for (Map<String, String> rawRecord : rawRecords) {
  // Creates a builder for the UserData object that represents a member of the user list.
  UserData.Builder userDataBuilder = UserData.newBuilder();
  // Checks if the record has email, phone, or address information, and adds a SEPARATE
  // UserIdentifier object for each one found. For example, a record with an email address and a
  // phone number will result in a UserData with two UserIdentifiers.

  // IMPORTANT: Since the identifier attribute of UserIdentifier
  // (https://developers.google.com/google-ads/api/reference/rpc/latest/UserIdentifier) is a
  // oneof
  // (https://protobuf.dev/programming-guides/proto3/#oneof-features), you must set only ONE of
  // hashedEmail, hashedPhoneNumber, mobileId, thirdPartyUserId, or addressInfo. Setting more
  // than one of these attributes on the same UserIdentifier will clear all the other members
  // of the oneof. For example, the following code is INCORRECT and will result in a
  // UserIdentifier with ONLY a hashedPhoneNumber.
  //
  // UserIdentifier incorrectlyPopulatedUserIdentifier =
  //     UserIdentifier.newBuilder()
  //         .setHashedEmail("...")
  //         .setHashedPhoneNumber("...")
  //         .build();
  //
  // The separate 'if' statements below demonstrate the correct approach for creating a UserData
  // for a member with multiple UserIdentifiers.

  // Checks if the record has an email address, and if so, adds a UserIdentifier for it.
  if (rawRecord.containsKey("email")) {
    UserIdentifier hashedEmailIdentifier =
        UserIdentifier.newBuilder()
            .setHashedEmail(normalizeAndHash(sha256Digest, rawRecord.get("email"), true))
            .build();
    // Adds the hashed email identifier to the UserData object's list.
    userDataBuilder.addUserIdentifiers(hashedEmailIdentifier);
  }

  // Checks if the record has a phone number, and if so, adds a UserIdentifier for it.
  if (rawRecord.containsKey("phone")) {
    UserIdentifier hashedPhoneNumberIdentifier =
        UserIdentifier.newBuilder()
            .setHashedPhoneNumber(normalizeAndHash(sha256Digest, rawRecord.get("phone"), true))
            .build();
    // Adds the hashed phone number identifier to the UserData object's list.
    userDataBuilder.addUserIdentifiers(hashedPhoneNumberIdentifier);
  }

  // Checks if the record has all the required mailing address elements, and if so, adds a
  // UserIdentifier for the mailing address.
  if (rawRecord.containsKey("firstName")) {
    // Checks if the record contains all the other required elements of a mailing address.
    Set<String> missingAddressKeys = new HashSet<>();
    for (String addressKey : new String[] {"lastName", "countryCode", "postalCode"}) {
      if (!rawRecord.containsKey(addressKey)) {
        missingAddressKeys.add(addressKey);
      }
    }

    if (!missingAddressKeys.isEmpty()) {
      System.out.printf(
          "Skipping addition of mailing address information because the following required keys"
              + " are missing: %s%n",
          missingAddressKeys);
    } else {
      // Creates an OfflineUserAddressInfo object that contains all the required elements of a
      // mailing address.
      OfflineUserAddressInfo addressInfo =
          OfflineUserAddressInfo.newBuilder()
              .setHashedFirstName(
                  normalizeAndHash(sha256Digest, rawRecord.get("firstName"), false))
              .setHashedLastName(
                  normalizeAndHash(sha256Digest, rawRecord.get("lastName"), false))
              .setCountryCode(rawRecord.get("countryCode"))
              .setPostalCode(rawRecord.get("postalCode"))
              .build();
      UserIdentifier addressIdentifier =
          UserIdentifier.newBuilder().setAddressInfo(addressInfo).build();
      // Adds the address identifier to the UserData object's list.
      userDataBuilder.addUserIdentifiers(addressIdentifier);
    }
  }

  if (!userDataBuilder.getUserIdentifiersList().isEmpty()) {
    // Builds the UserData and adds it to the list.
    userDataList.add(userDataBuilder.build());
  }
}

// Creates the operations to add users.
List<OfflineUserDataJobOperation> operations = new ArrayList<>();
for (UserData userData : userDataList) {
  operations.add(OfflineUserDataJobOperation.newBuilder().setCreate(userData).build());
}
      

C#

// Creates a raw input list of unhashed user information, where each element of the list
// represents a single user and is a map containing a separate entry for the keys
// "email", "phone", "firstName", "lastName", "countryCode", and "postalCode".
// In your application, this data might come from a file or a database.
List<Dictionary<string, string>> rawRecords = new List<Dictionary<string, string>>();

// The first user data has an email address and a phone number.
Dictionary<string, string> rawRecord1 = new Dictionary<string, string>();
rawRecord1.Add("email", "dana@example.com");
// Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as required.
// This includes whitespace that will be removed later.
rawRecord1.Add("phone", "+1 800 5550101");

// The second user data has an email address, a mailing address, and a phone number.
Dictionary<string, string> rawRecord2 = new Dictionary<string, string>();
// Email address that includes a period (.) before the Gmail domain.
rawRecord2.Add("email", "alex.2@example.com");
// Address that includes all four required elements: first name, last name, country
// code, and postal code.
rawRecord2.Add("firstName", "Alex");
rawRecord2.Add("lastName", "Quinn");
rawRecord2.Add("countryCode", "US");
rawRecord2.Add("postalCode", "94045");
// Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as required.
// This includes whitespace that will be removed later.
rawRecord2.Add("phone", "+1 800 5550102");

// The third user data only has an email address.
Dictionary<string, string> rawRecord3 = new Dictionary<string, string>();
rawRecord3.Add("email", "charlie@example.com");

// Adds the raw records to the raw input list.
rawRecords.Add(rawRecord1);
rawRecords.Add(rawRecord2);
rawRecords.Add(rawRecord3);

// Iterates over the raw input list and creates a UserData object for each record.
List<UserData> userDataList = new List<UserData>();
foreach (Dictionary<string, string> rawRecord in rawRecords) {
    // Creates a UserData object that represents a member of the user list.
    UserData userData = new UserData();
    // Checks if the record has email, phone, or address information, and adds a
    // SEPARATE UserIdentifier object for each one found.
    // For example, a record with an email address and a phone number will result in a
    // UserData with two UserIdentifiers.

    // IMPORTANT: Since the identifier attribute of UserIdentifier
    // (https://developers.google.com/google-ads/api/reference/rpc/latest/UserIdentifier)
    // is a oneof
    // (https://protobuf.dev/programming-guides/proto3/#oneof-features), you must set
    // only ONE of hashedEmail, hashedPhoneNumber, mobileId, thirdPartyUserId,
    // or addressInfo.
    // Setting more than one of these attributes on the same UserIdentifier will clear
    // all the other members of the oneof.
    // For example, the following code is INCORRECT and will result in a UserIdentifier
    // with ONLY a hashedPhoneNumber.
    //
    // UserIdentifier incorrectlyPopulatedUserIdentifier = new UserIdentifier()
    // {
    //      HashedEmail = "...",
    //      HashedPhoneNumber = "..."
    // };
    //
    // The separate 'if' statements below demonstrate the correct approach for creating
    // a UserData for a member with multiple UserIdentifiers.

    // Checks if the record has an email address, and if so, adds a UserIdentifier
    // for it.
    if (rawRecord.ContainsKey("email")) {
        UserIdentifier hashedEmailIdentifier = new UserIdentifier()
        {
            HashedEmail = NormalizeAndHash(rawRecord["email"], true)
        };

        userData.UserIdentifiers.Add(hashedEmailIdentifier);
    }

    // Checks if the record has a phone number, and if so, adds a UserIdentifier for it.
    if (rawRecord.ContainsKey("phone")) {
        UserIdentifier hashedPhoneNumberIdentifier = new UserIdentifier()
        {
            HashedPhoneNumber = NormalizeAndHash(rawRecord["phone"], true)
        };

        // Adds the hashed phone number identifier to the UserData object's list.
        userData.UserIdentifiers.Add(hashedPhoneNumberIdentifier);
    }

    // Checks if the record has all the required mailing address elements, and if so,
    // adds a UserIdentifier for the mailing address.
    if (rawRecord.ContainsKey("firstName")) {
        // Checks if the record contains all the other required elements of a mailing
        // address.
        HashSet<string> missingAddressKeys = new HashSet<string>();
        foreach (string addressKey in new string[] {"lastName", "countryCode",
            "postalCode"}) {
        if (!rawRecord.ContainsKey(addressKey)) {
            missingAddressKeys.Add(addressKey);
        }
        }

        if (!missingAddressKeys.Any()) {
        Console.WriteLine(
            $"Skipping addition of mailing address information because the following " +
                "required keys are missing: {missingAddressKeys}");
        } else {
            // Creates an OfflineUserAddressInfo object that contains all the required
            // elements of a mailing address.
            OfflineUserAddressInfo addressInfo = new OfflineUserAddressInfo()
            {
                HashedFirstName = NormalizeAndHash(rawRecord["firstName"]),
                HashedLastName = NormalizeAndHash(rawRecord["lastName"]),
                CountryCode = rawRecord["countryCode"],
                PostalCode = rawRecord["postalCode"]
            };

            UserIdentifier addressIdentifier = new UserIdentifier()
            {
                AddressInfo = addressInfo
            };

            // Adds the address identifier to the UserData object's list.
            userData.UserIdentifiers.Add(addressIdentifier);
        }
    }

    if (userData.UserIdentifiers.Any())
    {
        userDataList.Add(userData);
    }
}

// Creates the operations to add the users.
List<OfflineUserDataJobOperation> operations = new List<OfflineUserDataJobOperation>();
foreach(UserData userData in userDataList)
{
    operations.Add(new OfflineUserDataJobOperation()
    {
        Create = userData
    });
}
      

PHP

// Creates a raw input list of unhashed user information, where each element of the list
// represents a single user and is a map containing a separate entry for the keys 'email',
// 'phone', 'firstName', 'lastName', 'countryCode', and 'postalCode'. In your application,
// this data might come from a file or a database.
$rawRecords = [];
// The first user data has an email address and a phone number.
$rawRecord1 = [
    // The first user data has an email address and a phone number.
    'email' => 'dana@example.com',
    // Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as required. This
    // includes whitespace that will be removed later.
    'phone' => '+1 800 5550101'
];
$rawRecords[] = $rawRecord1;

// The second user data has an email address, a mailing address, and a phone number.
$rawRecord2 = [
    // Email address that includes a period (.) before the Gmail domain.
    'email' => 'alex.2@example.com',
    // Address that includes all four required elements: first name, last name, country
    // code, and postal code.
    'firstName' => 'Alex',
    'lastName' => 'Quinn',
    'countryCode' => 'US',
    'postalCode' => '94045',
    // Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as required.
    'phone' => '+1 800 5550102',
];
$rawRecords[] = $rawRecord2;

// The third user data only has an email address.
$rawRecord3 = ['email' => 'charlie@example.com'];
$rawRecords[] = $rawRecord3;

// Iterates over the raw input list and creates a UserData object for each record.
$userDataList = [];
foreach ($rawRecords as $rawRecord) {
    // Checks if the record has email, phone, or address information, and adds a SEPARATE
    // UserIdentifier object for each one found. For example, a record with an email address
    // and a phone number will result in a UserData with two UserIdentifiers.

    // IMPORTANT: Since the identifier attribute of UserIdentifier
    // (https://developers.google.com/google-ads/api/reference/rpc/latest/UserIdentifier) is
    // a oneof
    // (https://protobuf.dev/programming-guides/proto3/#oneof-features), you must set only
    // ONE of 'hashed_email, 'hashed_phone_number', 'mobile_id', 'third_party_user_id', or
    // 'address_info'.
    // Setting more than one of these attributes on the same UserIdentifier will clear all
    // the other members of the oneof. For example, the following code is INCORRECT and will
    // result in a UserIdentifier with ONLY a 'hashed_phone_number'.
    //
    // $incorrectlyPopulatedUserIdentifier = new UserIdentifier();
    // $incorrectlyPopulatedUserIdentifier->setHashedEmail('...');
    // $incorrectlyPopulatedUserIdentifier->setHashedPhoneNumber('...');
    //
    // The separate 'if' statements below demonstrate the correct approach for creating a
    // UserData for a member with multiple UserIdentifiers.

    $userIdentifiers = [];
    // Checks if the record has an email address, and if so, adds a UserIdentifier for it.
    if (array_key_exists('email', $rawRecord)) {
        $hashedEmailIdentifier = new UserIdentifier([
            'hashed_email' => self::normalizeAndHash($rawRecord['email'], true)
        ]);
        // Adds the hashed email identifier to the user identifiers list.
        $userIdentifiers[] = $hashedEmailIdentifier;
    }

    // Checks if the record has a phone number, and if so, adds a UserIdentifier for it.
    if (array_key_exists('phone', $rawRecord)) {
        $hashedPhoneNumberIdentifier = new UserIdentifier([
            'hashed_phone_number' => self::normalizeAndHash($rawRecord['phone'], true)
        ]);
        // Adds the hashed email identifier to the user identifiers list.
        $userIdentifiers[] = $hashedPhoneNumberIdentifier;
    }

    // Checks if the record has all the required mailing address elements, and if so, adds a
    // UserIdentifier for the mailing address.
    if (array_key_exists('firstName', $rawRecord)) {
        // Checks if the record contains all the other required elements of a mailing
        // address.
        $missingAddressKeys = [];
        foreach (['lastName', 'countryCode', 'postalCode'] as $addressKey) {
            if (!array_key_exists($addressKey, $rawRecord)) {
                $missingAddressKeys[] = $addressKey;
            }
        }
        if (!empty($missingAddressKeys)) {
            printf(
                "Skipping addition of mailing address information because the "
                . "following required keys are missing: %s%s",
                json_encode($missingAddressKeys),
                PHP_EOL
            );
        } else {
            // Creates an OfflineUserAddressInfo object that contains all the required
            // elements of a mailing address.
            $addressIdentifier = new UserIdentifier([
               'address_info' => new OfflineUserAddressInfo([
                   'hashed_first_name' => self::normalizeAndHash(
                       $rawRecord['firstName'],
                       false
                   ),
                   'hashed_last_name' => self::normalizeAndHash(
                       $rawRecord['lastName'],
                       false
                   ),
                   'country_code' => $rawRecord['countryCode'],
                   'postal_code' => $rawRecord['postalCode']
               ])
            ]);
            // Adds the address identifier to the user identifiers list.
            $userIdentifiers[] = $addressIdentifier;
        }
    }
    if (!empty($userIdentifiers)) {
        // Builds the UserData and adds it to the list.
        $userDataList[] = new UserData(['user_identifiers' => $userIdentifiers]);
    }
}

// Creates the operations to add users.
$operations = array_map(
    function (UserData $userData) {
        return new OfflineUserDataJobOperation(['create' => $userData]);
    },
    $userDataList
);
      

Python

def build_offline_user_data_job_operations(client):
    """Creates a raw input list of unhashed user information.

    Each element of the list represents a single user and is a dict containing a
    separate entry for the keys "email", "phone", "first_name", "last_name",
    "country_code", and "postal_code". In your application, this data might come
    from a file or a database.

    Args:
        client: The Google Ads client.

    Returns:
        A list containing the operations.
    """
    # The first user data has an email address and a phone number.
    raw_record_1 = {
        "email": "dana@example.com",
        # Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as
        # required. This includes whitespace that will be removed later.
        "phone": "+1 800 5550101",
    }

    # The second user data has an email address, a mailing address, and a phone
    # number.
    raw_record_2 = {
        # Email address that includes a period (.) before the email domain.
        "email": "alex.2@example.com",
        # Address that includes all four required elements: first name, last
        # name, country code, and postal code.
        "first_name": "Alex",
        "last_name": "Quinn",
        "country_code": "US",
        "postal_code": "94045",
        # Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as
        # required.
        "phone": "+1 800 5550102",
    }

    # The third user data only has an email address.
    raw_record_3 = {"email": "charlie@example.com"}

    # Adds the raw records to a raw input list.
    raw_records = [raw_record_1, raw_record_2, raw_record_3]

    operations = []
    # Iterates over the raw input list and creates a UserData object for each
    # record.
    for record in raw_records:
        # Creates a UserData object that represents a member of the user list.
        user_data = client.get_type("UserData")

        # Checks if the record has email, phone, or address information, and
        # adds a SEPARATE UserIdentifier object for each one found. For example,
        # a record with an email address and a phone number will result in a
        # UserData with two UserIdentifiers.

        # IMPORTANT: Since the identifier attribute of UserIdentifier
        # (https://developers.google.com/google-ads/api/reference/rpc/latest/UserIdentifier)
        # is a oneof
        # (https://protobuf.dev/programming-guides/proto3/#oneof-features), you
        # must set only ONE of hashed_email, hashed_phone_number, mobile_id,
        # third_party_user_id, or address-info. Setting more than one of these
        # attributes on the same UserIdentifier will clear all the other members
        # of the oneof. For example, the following code is INCORRECT and will
        # result in a UserIdentifier with ONLY a hashed_phone_number:

        # incorrect_user_identifier = client.get_type("UserIdentifier")
        # incorrect_user_identifier.hashed_email = "..."
        # incorrect_user_identifier.hashed_phone_number = "..."

        # The separate 'if' statements below demonstrate the correct approach
        # for creating a UserData object for a member with multiple
        # UserIdentifiers.

        # Checks if the record has an email address, and if so, adds a
        # UserIdentifier for it.
        if "email" in record:
            user_identifier = client.get_type("UserIdentifier")
            user_identifier.hashed_email = normalize_and_hash(
                record["email"], True
            )
            # Adds the hashed email identifier to the UserData object's list.
            user_data.user_identifiers.append(user_identifier)

        # Checks if the record has a phone number, and if so, adds a
        # UserIdentifier for it.
        if "phone" in record:
            user_identifier = client.get_type("UserIdentifier")
            user_identifier.hashed_phone_number = normalize_and_hash(
                record["phone"], True
            )
            # Adds the hashed phone number identifier to the UserData object's
            # list.
            user_data.user_identifiers.append(user_identifier)

        # Checks if the record has all the required mailing address elements,
        # and if so, adds a UserIdentifier for the mailing address.
        if "first_name" in record:
            required_keys = ("last_name", "country_code", "postal_code")
            # Checks if the record contains all the other required elements of
            # a mailing address.
            if not all(key in record for key in required_keys):
                # Determines which required elements are missing from the
                # record.
                missing_keys = record.keys() - required_keys
                print(
                    "Skipping addition of mailing address information "
                    "because the following required keys are missing: "
                    f"{missing_keys}"
                )
            else:
                user_identifier = client.get_type("UserIdentifier")
                address_info = user_identifier.address_info
                address_info.hashed_first_name = normalize_and_hash(
                    record["first_name"], False
                )
                address_info.hashed_last_name = normalize_and_hash(
                    record["last_name"], False
                )
                address_info.country_code = record["country_code"]
                address_info.postal_code = record["postal_code"]
                user_data.user_identifiers.append(user_identifier)

        # If the user_identifiers repeated field is not empty, create a new
        # OfflineUserDataJobOperation and add the UserData to it.
        if user_data.user_identifiers:
            operation = client.get_type("OfflineUserDataJobOperation")
            operation.create = user_data
            operations.append(operation)
      

Ruby

# Create a list of unhashed user data records that we will format in the
# following steps to prepare for the API.
raw_records = [
  # The first user data has an email address and a phone number.
  {
    email: 'dana@example.com',
    # Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as
    # required. This includes whitespace that will be removed later.
    phone: '+1 800 5550100',
  },
  # The second user data has an email address, a phone number, and an address.
  {
    # Email address that includes a period (.) before the Gmail domain.
    email: 'alex.2@example.com',
    # Address that includes all four required elements: first name, last
    # name, country code, and postal code.
    first_name: 'Alex',
    last_name: 'Quinn',
    country_code: 'US',
    postal_code: '94045',
    # Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as
    # required.
    phone: '+1 800 5550102',
  },
  # The third user data only has an email address.
  {
    email: 'charlie@example.com',
  },
]

# Create a UserData for each entry in the raw records.
user_data_list = raw_records.map do |record|
  client.resource.user_data do |data|
    if record[:email]
      data.user_identifiers << client.resource.user_identifier do |ui|
        ui.hashed_email = normalize_and_hash(record[:email], true)
      end
    end
    if record[:phone]
      data.user_identifiers << client.resource.user_identifier do |ui|
        ui.hashed_phone_number = normalize_and_hash(record[:phone], true)
      end
    end
    if record[:first_name]
      # Check that we have all the required information.
      missing_keys = [:last_name, :country_code, :postal_code].reject {|key|
        record[key].nil?
      }
      if missing_keys.empty?
        # If nothing is missing, add the address.
        data.user_identifiers << client.resource.user_identifier do |ui|
          ui.address_identifier = client.resource.offline_user_address_info do |address|
            address.hashed_first_name = normalize_and_hash(record[:first_name])
            address.hashed_last_name = normalize_and_hash(record[:last_name])
            address.country_code = record[:country_code]
            address.postal_code = record[:postal_code]
          end
        end
      else
        # If some data is missing, skip this entry.
        puts "Skipping addition of mailing information because the following keys are missing:" \
          "#{missing_keys}"
      end
    end
  end
end

operations = user_data_list.map do |user_data|
  client.operation.create_resource.offline_user_data_job(user_data)
end
      

Perl

  # The first user data has an email address and a phone number.
  my $raw_record_1 = {
    email => 'dana@example.com',
    # Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as
    # required. This includes whitespace that will be removed later.
    phone => '+1 800 5550101',
  };

  # The second user data has an email address, a mailing address, and a phone
  # number.
  my $raw_record_2 = {
    # Email address that includes a period (.) before the Gmail domain.
    email => 'alex.2@example.com',
    # Address that includes all four required elements: first name, last
    # name, country code, and postal code.
    firstName   => 'Alex',
    lastName    => 'Quinn',
    countryCode => 'US',
    postalCode  => '94045',
    # Phone number to be converted to E.164 format, with a leading '+' as
    # required.
    phone => '+1 800 5550102',
  };

  # The third user data only has an email address.
  my $raw_record_3 = {email => 'charlie@example.com',};

  my $raw_records = [$raw_record_1, $raw_record_2, $raw_record_3];

  my $operations = [];
  foreach my $record (@$raw_records) {
    # Check if the record has email, phone, or address information, and adds a
    # SEPARATE UserIdentifier object for each one found. For example, a record
    # with an email address and a phone number will result in a UserData with two
    # UserIdentifiers.
    #
    # IMPORTANT: Since the identifier attribute of UserIdentifier
    # (https://developers.google.com/google-ads/api/reference/rpc/latest/UserIdentifier)
    # is a oneof
    # (https://protobuf.dev/programming-guides/proto3/#oneof-features), you must set
    # only ONE of hashed_email, hashed_phone_number, mobile_id, third_party_user_id,
    # or address-info. Setting more than one of these attributes on the same UserIdentifier
    # will clear all the other members of the oneof. For example, the following code is
    # INCORRECT and will result in a UserIdentifier with ONLY a hashed_phone_number:
    #
    # my $incorrect_user_identifier = Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::UserIdentifier->new({
    #   hashedEmail => '...',
    #   hashedPhoneNumber => '...',
    # });
    #
    # The separate 'if' statements below demonstrate the correct approach for creating a
    # UserData object for a member with multiple UserIdentifiers.

    my $user_identifiers = [];

    # Check if the record has an email address, and if so, add a UserIdentifier for it.
    if (defined $record->{email}) {
      # Add the hashed email identifier to the list of UserIdentifiers.
      push(
        @$user_identifiers,
        Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::UserIdentifier->new({
            hashedEmail => normalize_and_hash($record->{email}, 1)}));
    }

    # Check if the record has a phone number, and if so, add a UserIdentifier for it.
    if (defined $record->{phone}) {
      # Add the hashed phone number identifier to the list of UserIdentifiers.
      push(
        @$user_identifiers,
        Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::UserIdentifier->new({
            hashedPhoneNumber => normalize_and_hash($record->{phone}, 1)}));
    }

    # Check if the record has all the required mailing address elements, and if so, add
    # a UserIdentifier for the mailing address.
    if (defined $record->{firstName}) {
      my $required_keys = ["lastName", "countryCode", "postalCode"];
      my $missing_keys  = [];

      foreach my $key (@$required_keys) {
        if (!defined $record->{$key}) {
          push(@$missing_keys, $key);
        }
      }

      if (@$missing_keys) {
        print
"Skipping addition of mailing address information because the following"
          . "keys are missing: "
          . join(",", @$missing_keys);
      } else {
        push(
          @$user_identifiers,
          Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::UserIdentifier->new({
              addressInfo =>
                Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::OfflineUserAddressInfo->
                new({
                  # First and last name must be normalized and hashed.
                  hashedFirstName => normalize_and_hash($record->{firstName}),
                  hashedLastName  => normalize_and_hash($record->{lastName}),
                  # Country code and zip code are sent in plain text.
                  countryCode => $record->{countryCode},
                  postalCode  => $record->{postalCode},
                })}));
      }
    }

    # If the user_identifiers array is not empty, create a new
    # OfflineUserDataJobOperation and add the UserData to it.
    if (@$user_identifiers) {
      my $user_data = Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::UserData->new({
          userIdentifiers => [$user_identifiers]});
      push(
        @$operations,
        Google::Ads::GoogleAds::V18::Services::OfflineUserDataJobService::OfflineUserDataJobOperation
          ->new({
            create => $user_data
          }));
    }
  }
      

ยืนยันการอัปโหลดรายการและอัตราการจับคู่

เมื่อ OfflineUserDataJob มี SUCCESSสถานะ อัตราการทำงานของคีย์เวิร์ดโดยประมาณจะแสดงในช่อง operation_metadata.match_rate_range หากคุณค้นหาช่องนี้ก่อนที่งานจะเสร็จสมบูรณ์ ค่าในช่องนี้อาจเป็น 0 เราขอแนะนำให้คุณสำรวจงานให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อให้อัตราการจับคู่พร้อมสำหรับการยืนยันและเพื่อให้รายการพร้อมกำหนดเป้าหมาย การดำเนินการอาจใช้เวลาเพียง 10 นาทีหรือสูงสุด 24 ชั่วโมงจึงจะเสร็จสมบูรณ์

ตัวอย่างโค้ดสำหรับตรวจสอบสถานะงาน

Java

private void checkJobStatus(
    GoogleAdsClient googleAdsClient, long customerId, String offlineUserDataJobResourceName) {
  try (GoogleAdsServiceClient googleAdsServiceClient =
      googleAdsClient.getLatestVersion().createGoogleAdsServiceClient()) {
    String query =
        String.format(
            "SELECT offline_user_data_job.resource_name, "
                + "offline_user_data_job.id, "
                + "offline_user_data_job.status, "
                + "offline_user_data_job.type, "
                + "offline_user_data_job.failure_reason, "
                + "offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata.user_list "
                + "FROM offline_user_data_job "
                + "WHERE offline_user_data_job.resource_name = '%s'",
            offlineUserDataJobResourceName);
    // Issues the query and gets the GoogleAdsRow containing the job from the response.
    GoogleAdsRow googleAdsRow =
        googleAdsServiceClient
            .search(Long.toString(customerId), query)
            .iterateAll()
            .iterator()
            .next();
    OfflineUserDataJob offlineUserDataJob = googleAdsRow.getOfflineUserDataJob();
    System.out.printf(
        "Offline user data job ID %d with type '%s' has status: %s%n",
        offlineUserDataJob.getId(), offlineUserDataJob.getType(), offlineUserDataJob.getStatus());
    OfflineUserDataJobStatus jobStatus = offlineUserDataJob.getStatus();
    if (OfflineUserDataJobStatus.SUCCESS == jobStatus) {
      // Prints information about the user list.
      printCustomerMatchUserListInfo(
          googleAdsClient,
          customerId,
          offlineUserDataJob.getCustomerMatchUserListMetadata().getUserList());
    } else if (OfflineUserDataJobStatus.FAILED == jobStatus) {
      System.out.printf("  Failure reason: %s%n", offlineUserDataJob.getFailureReason());
    } else if (OfflineUserDataJobStatus.PENDING == jobStatus
        || OfflineUserDataJobStatus.RUNNING == jobStatus) {
      System.out.println();
      System.out.printf(
          "To check the status of the job periodically, use the following GAQL query with"
              + " GoogleAdsService.search:%n%s%n",
          query);
    }
  }
}

      

C#

private static void CheckJobStatusAndPrintResults(GoogleAdsClient client, long customerId,
    string offlineUserDataJobResourceName)
{
    // Get the GoogleAdsService.
    GoogleAdsServiceClient service = client.GetService(Services.V18.GoogleAdsService);

    string query = "SELECT offline_user_data_job.resource_name, " +
        "offline_user_data_job.id, offline_user_data_job.status, " +
        "offline_user_data_job.type, offline_user_data_job.failure_reason " +
        "offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata_user_list " +
        "FROM offline_user_data_job WHERE " +
        $"offline_user_data_job.resource_name = '{offlineUserDataJobResourceName}'";

    // Issues the query and gets the GoogleAdsRow containing the job from the response.
    GoogleAdsRow googleAdsRow = service.Search(customerId.ToString(), query).First();

    OfflineUserDataJob offlineUserDataJob = googleAdsRow.OfflineUserDataJob;
    Console.WriteLine($"Offline user data job ID {offlineUserDataJob.Id} with type " +
        $"'{offlineUserDataJob.Type}' has status: {offlineUserDataJob.Status}");

    switch (offlineUserDataJob.Status)
    {
        case OfflineUserDataJobStatus.Success:
            // Prints information about the user list.
            PrintCustomerMatchUserListInfo(client, customerId,
                offlineUserDataJob.CustomerMatchUserListMetadata.UserList);
            break;

        case OfflineUserDataJobStatus.Failed:
            Console.WriteLine($"  Failure reason: {offlineUserDataJob.FailureReason}");
            break;

        case OfflineUserDataJobStatus.Pending:
        case OfflineUserDataJobStatus.Running:
            Console.WriteLine("To check the status of the job periodically, use the " +
                $"following GAQL query with GoogleAdsService.search:\n\n{query}");
            break;
    }
}
      

PHP

private static function checkJobStatus(
    GoogleAdsClient $googleAdsClient,
    int $customerId,
    string $offlineUserDataJobResourceName
) {
    $googleAdsServiceClient = $googleAdsClient->getGoogleAdsServiceClient();

    // Creates a query that retrieves the offline user data job.
    $query = "SELECT offline_user_data_job.resource_name, "
          . "offline_user_data_job.id, "
          . "offline_user_data_job.status, "
          . "offline_user_data_job.type, "
          . "offline_user_data_job.failure_reason, "
          . "offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata.user_list "
          . "FROM offline_user_data_job "
          . "WHERE offline_user_data_job.resource_name = '$offlineUserDataJobResourceName'";

    // Issues a search request to get the GoogleAdsRow containing the job from the response.
    /** @var GoogleAdsRow $googleAdsRow */
    $googleAdsRow =
        $googleAdsServiceClient->search(SearchGoogleAdsRequest::build($customerId, $query))
            ->getIterator()
            ->current();
    $offlineUserDataJob = $googleAdsRow->getOfflineUserDataJob();

    // Prints out some information about the offline user data job.
    $offlineUserDataJobStatus = $offlineUserDataJob->getStatus();
    printf(
        "Offline user data job ID %d with type '%s' has status: %s.%s",
        $offlineUserDataJob->getId(),
        OfflineUserDataJobType::name($offlineUserDataJob->getType()),
        OfflineUserDataJobStatus::name($offlineUserDataJobStatus),
        PHP_EOL
    );

    if ($offlineUserDataJobStatus === OfflineUserDataJobStatus::SUCCESS) {
        // Prints information about the user list.
        self::printCustomerMatchUserListInfo(
            $googleAdsClient,
            $customerId,
            $offlineUserDataJob->getCustomerMatchUserListMetadata()->getUserList()
        );
    } elseif ($offlineUserDataJobStatus === OfflineUserDataJobStatus::FAILED) {
        printf("  Failure reason: %s.%s", $offlineUserDataJob->getFailureReason(), PHP_EOL);
    } elseif (
        $offlineUserDataJobStatus === OfflineUserDataJobStatus::PENDING
        || $offlineUserDataJobStatus === OfflineUserDataJobStatus::RUNNING
    ) {
        printf(
            '%1$sTo check the status of the job periodically, use the following GAQL query with'
            . ' GoogleAdsService.search:%1$s%2$s%1$s',
            PHP_EOL,
            $query
        );
    }
}
      

Python

def check_job_status(client, customer_id, offline_user_data_job_resource_name):
    """Retrieves, checks, and prints the status of the offline user data job.

    If the job is completed successfully, information about the user list is
    printed. Otherwise, a GAQL query will be printed, which can be used to
    check the job status at a later date.

    Offline user data jobs may take 6 hours or more to complete, so checking the
    status periodically, instead of waiting, can be more efficient.

    Args:
        client: The Google Ads client.
        customer_id: The ID for the customer that owns the user list.
        offline_user_data_job_resource_name: The resource name of the offline
            user data job to get the status of.
    """
    query = f"""
        SELECT
          offline_user_data_job.resource_name,
          offline_user_data_job.id,
          offline_user_data_job.status,
          offline_user_data_job.type,
          offline_user_data_job.failure_reason,
          offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata.user_list
        FROM offline_user_data_job
        WHERE offline_user_data_job.resource_name =
          '{offline_user_data_job_resource_name}'
        LIMIT 1"""

    # Issues a search request using streaming.
    google_ads_service = client.get_service("GoogleAdsService")
    results = google_ads_service.search(customer_id=customer_id, query=query)
    offline_user_data_job = next(iter(results)).offline_user_data_job
    status_name = offline_user_data_job.status.name
    user_list_resource_name = (
        offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata.user_list
    )

    print(
        f"Offline user data job ID '{offline_user_data_job.id}' with type "
        f"'{offline_user_data_job.type_.name}' has status: {status_name}"
    )

    if status_name == "SUCCESS":
        print_customer_match_user_list_info(
            client, customer_id, user_list_resource_name
        )
    elif status_name == "FAILED":
        print(f"\tFailure Reason: {offline_user_data_job.failure_reason}")
    elif status_name in ("PENDING", "RUNNING"):
        print(
            "To check the status of the job periodically, use the following "
            f"GAQL query with GoogleAdsService.Search: {query}"
        )
      

Ruby

def check_job_status(client, customer_id, offline_user_data_job)
  query = <<~QUERY
    SELECT
      offline_user_data_job.id,
      offline_user_data_job.status,
      offline_user_data_job.type,
      offline_user_data_job.failure_reason,
      offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata.user_list
    FROM
      offline_user_data_job
    WHERE
      offline_user_data_job.resource_name = '#{offline_user_data_job}'
  QUERY

  row = client.service.google_ads.search(
    customer_id: customer_id,
    query: query,
  ).first

  job = row.offline_user_data_job
  puts "Offline user data job ID #{job.id} with type '#{job.type}' has status: #{job.status}."

  case job.status
  when :SUCCESS
    print_customer_match_user_list(client, customer_id, job.customer_match_user_list_metadata.user_list)
  when :FAILED
    puts "  Failure reason: #{job.failure_reason}"
  else
    puts "  To check the status of the job periodically, use the following GAQL " \
      "query with GoogleAdsService.search:"
    puts query
  end
end
      

Perl

sub check_job_status() {
  my ($api_client, $customer_id, $offline_user_data_job_resource_name) = @_;

  my $search_query =
    "SELECT offline_user_data_job.resource_name, " .
    "offline_user_data_job.id, offline_user_data_job.status, " .
    "offline_user_data_job.type, offline_user_data_job.failure_reason, " .
    "offline_user_data_job.customer_match_user_list_metadata.user_list " .
    "FROM offline_user_data_job " .
    "WHERE offline_user_data_job.resource_name = " .
    "$offline_user_data_job_resource_name LIMIT 1";

  my $search_request =
    Google::Ads::GoogleAds::V18::Services::GoogleAdsService::SearchGoogleAdsRequest
    ->new({
      customerId => $customer_id,
      query      => $search_query
    });

  # Get the GoogleAdsService.
  my $google_ads_service = $api_client->GoogleAdsService();

  my $iterator = Google::Ads::GoogleAds::Utils::SearchGoogleAdsIterator->new({
    service => $google_ads_service,
    request => $search_request
  });

  # The results have exactly one row.
  my $google_ads_row        = $iterator->next;
  my $offline_user_data_job = $google_ads_row->{offlineUserDataJob};
  my $status                = $offline_user_data_job->{status};

  printf
    "Offline user data job ID %d with type %s has status: %s.\n",
    $offline_user_data_job->{id},
    $offline_user_data_job->{type},
    $status;

  if ($status eq SUCCESS) {
    print_customer_match_user_list_info($api_client, $customer_id,
      $offline_user_data_job->{customerMatchUserListMetadata}{userList});
  } elsif ($status eq FAILED) {
    print "Failure reason: $offline_user_data_job->{failure_reason}";
  } elsif (grep /$status/, (PENDING, RUNNING)) {
    print
      "To check the status of the job periodically, use the following GAQL " .
      "query with the GoogleAdsService->search() method:\n$search_query\n";
  }

  return 1;
}
      

หากต้องการยืนยันขนาดรายการ ให้ค้นหาแหล่งข้อมูล user_list

ตัวอย่างโค้ดสำหรับค้นหาทรัพยากร user_list

Java

try (GoogleAdsServiceClient googleAdsServiceClient =
    googleAdsClient.getLatestVersion().createGoogleAdsServiceClient()) {
  // Creates a query that retrieves the user list.
  String query =
      String.format(
          "SELECT user_list.size_for_display, user_list.size_for_search "
              + "FROM user_list "
              + "WHERE user_list.resource_name = '%s'",
          userListResourceName);

  // Constructs the SearchGoogleAdsStreamRequest.
  SearchGoogleAdsStreamRequest request =
      SearchGoogleAdsStreamRequest.newBuilder()
          .setCustomerId(Long.toString(customerId))
          .setQuery(query)
          .build();

  // Issues the search stream request.
  ServerStream<SearchGoogleAdsStreamResponse> stream =
      googleAdsServiceClient.searchStreamCallable().call(request);
      

C#

 // Get the GoogleAdsService.
 GoogleAdsServiceClient service =
     client.GetService(Services.V18.GoogleAdsService);

 // Creates a query that retrieves the user list.
 string query =
     "SELECT user_list.size_for_display, user_list.size_for_search " +
     "FROM user_list " +
     $"WHERE user_list.resource_name = '{userListResourceName}'";
 // Issues a search stream request.
 service.SearchStream(customerId.ToString(), query,
    delegate (SearchGoogleAdsStreamResponse resp)
    {
        // Display the results.
        foreach (GoogleAdsRow userListRow in resp.Results)
        {
            UserList userList = userListRow.UserList;
            Console.WriteLine("The estimated number of users that the user list " +
                $"'{userList.ResourceName}' has is {userList.SizeForDisplay}" +
                $" for Display and {userList.SizeForSearch} for Search.");
        }
    }
);
      

PHP

$googleAdsServiceClient = $googleAdsClient->getGoogleAdsServiceClient();

// Creates a query that retrieves the user list.
$query =
    "SELECT user_list.size_for_display, user_list.size_for_search " .
    "FROM user_list " .
    "WHERE user_list.resource_name = '$userListResourceName'";

// Issues a search stream request.
/** @var GoogleAdsServerStreamDecorator $stream */
$stream = $googleAdsServiceClient->searchStream(
    SearchGoogleAdsStreamRequest::build($customerId, $query)
);
      

Python

googleads_service_client = client.get_service("GoogleAdsService")

# Creates a query that retrieves the user list.
query = f"""
    SELECT
      user_list.size_for_display,
      user_list.size_for_search
    FROM user_list
    WHERE user_list.resource_name = '{user_list_resource_name}'"""

# Issues a search request.
search_results = googleads_service_client.search(
    customer_id=customer_id, query=query
)
      

Ruby

query = <<~EOQUERY
  SELECT user_list.size_for_display, user_list.size_for_search
  FROM user_list
  WHERE user_list.resource_name = #{user_list}
EOQUERY

response = client.service.google_ads.search_stream(
  customer_id: customer_id,
  query: query,
)
      

Perl

# Create a query that retrieves the user list.
my $search_query =
  "SELECT user_list.size_for_display, user_list.size_for_search " .
  "FROM user_list " .
  "WHERE user_list.resource_name = '$user_list_resource_name'";

# Create a search Google Ads stream request that will retrieve the user list.
my $search_stream_request =
  Google::Ads::GoogleAds::V18::Services::GoogleAdsService::SearchGoogleAdsStreamRequest
  ->new({
    customerId => $customer_id,
    query      => $search_query,
  });

# Get the GoogleAdsService.
my $google_ads_service = $api_client->GoogleAdsService();

my $search_stream_handler =
  Google::Ads::GoogleAds::Utils::SearchStreamHandler->new({
    service => $google_ads_service,
    request => $search_stream_request
  });
      

เพื่อความเป็นส่วนตัว ขนาดรายชื่อผู้ใช้จะแสดงเป็น 0 จนกว่ารายการจะมีสมาชิกอย่างน้อย 1,000 คน หลังจากนั้น ระบบจะปัดเศษขนาดเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญมากที่สุด 2 หลัก

คุณสามารถดึงข้อมูลข้อผิดพลาดระหว่างการเรียกใช้ OfflineUserDataJob ผ่านแหล่งข้อมูล offline_user_data_job โดยใช้ภาษาการค้นหาของ Google Ads อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่ารายงานนี้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการจับคู่ที่ล้มเหลว เนื่องจากระบบจะเปรียบเทียบเฉพาะแฮชเมื่อจับคู่อย่างมีประสิทธิภาพ ดูคู่มือการแก้ปัญหาหากพบปัญหาเกี่ยวกับรายชื่อลูกค้า

เปรียบเทียบกับ UI ของ Google Ads

รายการอาจปรากฏน้อยกว่าที่คาดไว้เมื่อดูในตัวจัดการกลุ่มเป้าหมายจาก UI ของ Google Ads มุมมองนี้แสดงจํานวนผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ในรายการ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่คู่มือการแก้ปัญหานี้

เนื่องจากระบบอาจใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมงในการสร้างรายชื่อสมาชิก คุณจึงอาจเห็นสถานะ In Progress ใน UI ของ Google Ads หากคุณอัปโหลดไปยังรายการกลุ่มเป้าหมายบ่อยกว่าทุกๆ 12 ชั่วโมง

กำหนดเป้าหมายรายการของฉัน

คุณสามารถกําหนดเป้าหมายรายการที่ระดับกลุ่มโฆษณาหรือระดับแคมเปญ กระบวนการนี้คล้ายกับเกณฑ์การกําหนดเป้าหมายประเภทอื่นๆ ใน API

ตัวอย่างโค้ดสำหรับกำหนดเป้าหมายโฆษณาในกลุ่มโฆษณาให้ไปยังรายการผู้ใช้

Java

private String targetAdsInAdGroupToUserList(
    GoogleAdsClient googleAdsClient, long customerId, long adGroupId, String userList) {
  // Creates the ad group criterion targeting members of the user list.
  AdGroupCriterion adGroupCriterion =
      AdGroupCriterion.newBuilder()
          .setAdGroup(ResourceNames.adGroup(customerId, adGroupId))
          .setUserList(UserListInfo.newBuilder().setUserList(userList).build())
          .build();

  // Creates the operation.
  AdGroupCriterionOperation operation =
      AdGroupCriterionOperation.newBuilder().setCreate(adGroupCriterion).build();

  // Creates the ad group criterion service.
  try (AdGroupCriterionServiceClient adGroupCriterionServiceClient =
      googleAdsClient.getLatestVersion().createAdGroupCriterionServiceClient()) {
    // Adds the ad group criterion.
    MutateAdGroupCriteriaResponse response =
        adGroupCriterionServiceClient.mutateAdGroupCriteria(
            Long.toString(customerId), ImmutableList.of(operation));
    // Gets and prints the results.
    String adGroupCriterionResourceName = response.getResults(0).getResourceName();
    System.out.printf(
        "Successfully created ad group criterion with resource name '%s' "
            + "targeting user list with resource name '%s' with ad group with ID %d.%n",
        adGroupCriterionResourceName, userList, adGroupId);
    return adGroupCriterionResourceName;
  }
}

      

C#

private string TargetAdsInAdGroupToUserList(
    GoogleAdsClient client, long customerId, long adGroupId, string userListResourceName)
{
    // Get the AdGroupCriterionService client.
    AdGroupCriterionServiceClient adGroupCriterionServiceClient = client.GetService
        (Services.V18.AdGroupCriterionService);

    // Create the ad group criterion targeting members of the user list.
    AdGroupCriterion adGroupCriterion = new AdGroupCriterion
    {
        AdGroup = ResourceNames.AdGroup(customerId, adGroupId),
        UserList = new UserListInfo
        {
            UserList = userListResourceName
        }
    };

    // Create the operation.
    AdGroupCriterionOperation adGroupCriterionOperation = new AdGroupCriterionOperation
    {
        Create = adGroupCriterion
    };

    // Add the ad group criterion, then print and return the new criterion's resource name.
    MutateAdGroupCriteriaResponse mutateAdGroupCriteriaResponse =
        adGroupCriterionServiceClient.MutateAdGroupCriteria(customerId.ToString(),
            new[] { adGroupCriterionOperation });

    string adGroupCriterionResourceName =
        mutateAdGroupCriteriaResponse.Results.First().ResourceName;
    Console.WriteLine("Successfully created ad group criterion with resource name " +
        $"'{adGroupCriterionResourceName}' targeting user list with resource name " +
        $"'{userListResourceName}' with ad group with ID {adGroupId}.");
    return adGroupCriterionResourceName;
}
      

PHP

private static function targetAdsInAdGroupToUserList(
    GoogleAdsClient $googleAdsClient,
    int $customerId,
    int $adGroupId,
    string $userListResourceName
): string {
    // Creates the ad group criterion targeting members of the user list.
    $adGroupCriterion = new AdGroupCriterion([
        'ad_group' => ResourceNames::forAdGroup($customerId, $adGroupId),
        'user_list' => new UserListInfo(['user_list' => $userListResourceName])
    ]);

    // Creates the operation.
    $operation = new AdGroupCriterionOperation();
    $operation->setCreate($adGroupCriterion);

    // Issues a mutate request to add an ad group criterion.
    $adGroupCriterionServiceClient = $googleAdsClient->getAdGroupCriterionServiceClient();
    /** @var MutateAdGroupCriteriaResponse $adGroupCriterionResponse */
    $adGroupCriterionResponse = $adGroupCriterionServiceClient->mutateAdGroupCriteria(
        MutateAdGroupCriteriaRequest::build($customerId, [$operation])
    );

    $adGroupCriterionResourceName =
        $adGroupCriterionResponse->getResults()[0]->getResourceName();
    printf(
        "Successfully created ad group criterion with resource name '%s' " .
        "targeting user list with resource name '%s' with ad group with ID %d.%s",
        $adGroupCriterionResourceName,
        $userListResourceName,
        $adGroupId,
        PHP_EOL
    );

    return $adGroupCriterionResourceName;
}
      

Python

def target_ads_in_ad_group_to_user_list(
    client, customer_id, ad_group_id, user_list_resource_name
):
    """Creates an ad group criterion that targets a user list with an ad group.

    Args:
        client: an initialized GoogleAdsClient instance.
        customer_id: a str client customer ID used to create an ad group
            criterion.
        ad_group_id: a str ID for an ad group used to create an ad group
            criterion that targets members of a user list.
        user_list_resource_name: a str resource name for a user list.

    Returns:
        a str resource name for an ad group criterion.
    """
    ad_group_criterion_operation = client.get_type("AdGroupCriterionOperation")
    # Creates the ad group criterion targeting members of the user list.
    ad_group_criterion = ad_group_criterion_operation.create
    ad_group_criterion.ad_group = client.get_service(
        "AdGroupService"
    ).ad_group_path(customer_id, ad_group_id)
    ad_group_criterion.user_list.user_list = user_list_resource_name

    ad_group_criterion_service = client.get_service("AdGroupCriterionService")
    response = ad_group_criterion_service.mutate_ad_group_criteria(
        customer_id=customer_id, operations=[ad_group_criterion_operation]
    )
    resource_name = response.results[0].resource_name
    print(
        "Successfully created ad group criterion with resource name: "
        f"'{resource_name}' targeting user list with resource name: "
        f"'{user_list_resource_name}' and with ad group with ID "
        f"{ad_group_id}."
    )
    return resource_name
      

Ruby

def target_ads_in_ad_group_to_user_list(
  client,
  customer_id,
  ad_group_id,
  user_list
)
  # Creates the ad group criterion targeting members of the user list.
  operation = client.operation.create_resource.ad_group_criterion do |agc|
    agc.ad_group = client.path.ad_group(customer_id, ad_group_id)
    agc.user_list = client.resource.user_list_info do |info|
      info.user_list = user_list
    end
  end

  # Issues a mutate request to create the ad group criterion.
  response = client.service.ad_group_criterion.mutate_ad_group_criteria(
    customer_id: customer_id,
    operations: [operation],
  )
  ad_group_criterion_resource_name = response.results.first.resource_name
  puts "Successfully created ad group criterion with resource name " \
    "'#{ad_group_criterion_resource_name}' targeting user list with resource name " \
    "'#{user_list}' with ad group with ID #{ad_group_id}"

  ad_group_criterion_resource_name
end
      

Perl

sub target_ads_in_ad_group_to_user_list {
  my ($api_client, $customer_id, $ad_group_id, $user_list_resource_name) = @_;

  # Create the ad group criterion targeting members of the user list.
  my $ad_group_criterion =
    Google::Ads::GoogleAds::V18::Resources::AdGroupCriterion->new({
      adGroup => Google::Ads::GoogleAds::V18::Utils::ResourceNames::ad_group(
        $customer_id, $ad_group_id
      ),
      userList => Google::Ads::GoogleAds::V18::Common::UserListInfo->new({
          userList => $user_list_resource_name
        })});

  # Create the operation.
  my $ad_group_criterion_operation =
    Google::Ads::GoogleAds::V18::Services::AdGroupCriterionService::AdGroupCriterionOperation
    ->new({
      create => $ad_group_criterion
    });

  # Add the ad group criterion, then print and return the new criterion's resource name.
  my $ad_group_criteria_response =
    $api_client->AdGroupCriterionService()->mutate({
      customerId => $customer_id,
      operations => [$ad_group_criterion_operation]});

  my $ad_group_criterion_resource_name =
    $ad_group_criteria_response->{results}[0]{resourceName};
  printf "Successfully created ad group criterion with resource name '%s' " .
    "targeting user list with resource name '%s' with ad group with ID %d.\n",
    $ad_group_criterion_resource_name, $user_list_resource_name, $ad_group_id;

  return $ad_group_criterion_resource_name;
}
      

กําหนดเป้าหมายรายชื่อลูกค้าหลายรายการ

สามารถรวม crm_based_user_list กับ crm_based_user_list อื่นได้เฉพาะเมื่อใช้ logical_user_list เท่านั้น นโยบายทั้งหมดสำหรับ crm_based_user_list จะมีผลกับรายชื่อผู้ใช้ที่ได้